เข่าโก่ง คืออะไร???

ภาวะเข่าโก่ง (Bow legs) เป็นภาวะที่ขาทั้งสองข้างโค้งออกด้านนอก ทำให้เมื่อยืนตรงแบบข้อเท้าชิด หัวเข่าจะไม่สามารถชิดกันได้ ส่งผลให้ขาดูเป็นรูปตัวโอเมื่อมองจากด้านหน้า (รูปที่1) สามารถพบได้ในทุกวัยโดยเฉพาะวัยเด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งอาจกระทบต่อการทรงตัวและการเดิน1

รูปที่ 1 แสดงการเปรียบเทียบของภาวะเข่าโก่งกับเข่าปกติ
สาเหตุของภาวะเข่าโก่ง
- การเสื่อมสภาพของข้อเข่าหรือโรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis) เมื่ออายุมากขึ้น กระดูกอ่อนในข้อเข่าจะมีการเสื่อมสภาพลงจากการใช้งานอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ข้อเข่าติดขัดขณะเคลื่อนไหว และเกิดความผิดรูปตามมา2
- การบาดเจ็บและอุบัติเหตุ อุบัติเหตุที่ส่งผลกระทบต่อข้อเข่าหรือกระดูกบริเวณรยางค์ส่วนล่าง อาจทำให้โครงสร้างของข้อเข่าเปลี่ยนแปลง ซึ่งนำไปสู่ภาวะเข่าโก่งได้3
- น้ำหนักเกิน น้ำหนักตัวที่มากเกินไปทำให้ข้อเข่าต้องรับแรงกดทางด้านในเข่าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กระดูกอ่อนเสื่อมสภาพเร็วขึ้น นำไปสู่ปัญหาข้อเข่าผิดรูป4
- โรคทางเมแทบอลิก โรคข้ออักเสบและโรคบางชนิด เช่น โรคเกาต์ โรครูมาตอยด์ หรือโรคกระดูกอ่อนผิดปกติจากเมแทบอลิซึม อาจทำให้เกิดการอักเสบในข้อเข่าและนำไปสู่การผิดรูปของขา โรคพาเจต (Paget’s disease) ส่งผลต่อกระบวนการสร้างและทำลายกระดูก ทำให้กระดูกขาโค้งงอ โรคบลาวต์ (Blount’s disease) พบในเด็ก ส่งผลให้กระดูกหน้าแข้งเติบโตผิดปกติ เป็นต้น5
- ภาวะเข่าผิดรูปแต่กำเนิด ภาวะเข่าโก่งอาจเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมหรือพัฒนาการที่ผิดปกติตั้งแต่กำเนิด ซึ่งอาจต้องได้รับการดูแลและรักษาตั้งแต่วัยเด็ก ภาวะขาโก่งตั้งแต่วัยเด็กที่ไม่ได้รับการรักษา อาจพัฒนาเป็นเข่าโก่งรุนแรงขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ6
- การใช้งานข้อเข่าผิดวิธีอย่างต่อเนื่อง เช่น การยกของหนักหรือการเล่นกีฬาที่สร้างแรงกระแทกสูงต่อข้อเข่า7 ทำให้กระดูกอ่อนในข้อเข่าซึ่งทำหน้าที่รองรับแรงกระแทกสึกหรอเร็วขึ้น นำไปสู่ปัญหาข้อเข่าผิดรูปได้
- การขาดสารอาหาร โดยเฉพาะแคลเซียมและวิตามินดี ซึ่งสำคัญต่อพัฒนาการของกระดูก อาจนำไปสู่ภาวะโรคกระดูกอ่อน (Osteomalacia) ซึ่งเป็นโรคกระดูกชนิดหนึ่งที่ส่งผลให้มวลกระดูกขาดแคลเซียม จึงมีภาวะอ่อนตัวไม่แข็งแรง ทำให้กระดูกอ่อนแอและผิดรูปง่าย8
อาการของภาวะเข่าโก่ง
เข่าโก่งเกิดจากกระดูกอ่อนผิวข้อเข่าด้านในสึกหรอและบางลงมากกว่าปกติ จนทำให้ช่องว่างข้อเข่าด้านในแคบกว่าด้านนอก ทำให้เกิดมุมที่ผิดปกติไป9 ภาวะเข่าโก่งอาจทำให้เกิดอาการปวดเมื่อย โดยเฉพาะบริเวณข้อเข่าและข้อเท้า เนื่องจากการกระจายน้ำหนักที่ไม่สมดุล ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น
- ปวดเข่า โดยเฉพาะเวลาเดินหรือยืนเป็นเวลานาน เนื่องจากแนวแรงการทำงานของกล้ามเนื้อที่ข้อเข่าเปลี่ยนไป เกิดอาการบาดเจ็บต่อโครงสร้างเข่า ทำให้เดินลำบากขึ้น ลงน้ำหนักได้ไม่ดี ตัวเอียงไปมาขณะเดิน หากปล่อยไว้จนรุนแรง ผู้ป่วยจะเจ็บปวดและเคลื่อนไหวข้อเข่าได้จำกัด ส่งผลให้ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ยากขึ้น10
- ปวดสะโพกและหลังส่วนล่าง เนื่องจากร่างกายต้องปรับสมดุลเพื่อลดผลกระทบจากการโก่งของขา2
- เมื่อยล้าขาง่ายกว่าปกติ เพราะกล้ามเนื้อขาต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย11
การประเมินภาวะเข่าโก่ง
การประเมินว่ามีภาวะเข่าโก่ง สามารถทำได้โดยการตรวจร่างกายและใช้มาตรฐานทางการแพทย์ในการวัด ได้แก่
- การวัดระยะห่างระหว่างหัวเข่า (Intercondylar Distance) โดยให้ผู้ป่วยยืนตรงโดยให้ข้อเท้าทั้งสองข้างชิดกัน วัดระยะห่างระหว่างหัวเข่าทั้งสองข้าง หากระยะห่างมากกว่า 8 เซนติเมตร อาจบ่งชี้ถึงภาวะเข่าโก่งที่ผิดปกติได้12 (รูปที่ 2)

รูปที่ 2 แสดงการวัดระยะห่างระหว่างหัวเข่าในภาวะเข่าโก่ง
- การตรวจเอกซเรย์ (Radiographic Evaluation) การเอกซเรย์ในท่ายืน (Weight-bearing X-ray) เป็นมาตรฐานในการประเมินแนวแกนของขาและข้อเข่า องศาความโก่งสามารถประเมินได้จากมุมระหว่างกระดูกต้นขาและกระดูกหน้าแข้ง (Tibiofemoral Angle) หากมีค่าน้อยกว่า -5 องศา ถือว่าเริ่มมีภาวะเข่าโก่ง13 (รูปที่ 3)

รูปที่ 3 แสดงการวัดมุมระหว่างกระดูกต้นขาและกระดูกหน้าแข้งในภาวะเข่าโก่ง
- การใช้ดัชนีแนวกระดูก (Mechanical Axis Deviation) เป็นการวัดแนวของกระดูกขาโดยลากเส้นจากศูนย์กลางของข้อสะโพกไปยังข้อเท้า หากแนวเส้นนี้ไม่ตัดผ่านศูนย์กลางของข้อเข่า อาจแสดงถึงภาวะขาโก่งที่รุนแรง14 (รูปที่ 4)

รูปที่ 4 แสดงการวัดแนวกระดูกขา
ควรพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเมื่อใด
- ระยะห่างระหว่างข้อเข่า มากกว่า 8 เซนติเมตรเมื่อยืนตรง เท้าชิดกัน12
- อาการปวดเข่าหรือข้อเท้าเรื้อรังที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน13
- สังเกตเห็นว่าเข่าโก่งมากขึ้นภายในระยะเวลาไม่นาน2
- มีปัญหาในการเดินหรือทรงตัว10
- เข่าโก่งที่เกิดขึ้นหลังการบาดเจ็บที่ขาหรือข้อเข่า14
แนวทางดูแลและรักษาภาวะเข่าโก่ง ได้แก่
- การดูแลตนเอง11,15
- ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและหลัง กล้ามเนื้อรอบสะโพก และยืดกล้ามเนื้อต้นขาด้านในเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของขา
- ใช้อุปกรณ์พยุงเข่า เช่น เข็มขัดพยุงเข่าและแผ่นรองรองเท้า เพื่อช่วยกระจายและปรับแนวแรงที่กดต่อข้อเข่า
- ควบคุมหรือลดน้ำหนัก เพื่อลดแรงที่กระทำต่อข้อเข่า และป้องกันการเสื่อมสภาพที่รวดเร็วขึ้น
- การประคบร้อนหรือเย็น ช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบ
- การรักษาทางการแพทย์14,16
- การใช้ยา เพื่อช่วยลดอาการปวด
- การผ่าตัดตัดกระดูกเพื่อปรับแนว (Osteotomy) เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเข่าโก่งไม่รุนแรงและข้อเข่ายังแข็งแรง
- การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อมรุนแรง โดยสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเข่าโก่งและลดอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การรักษาทางกายภาพบำบัด11,17
การรักษาภาวะเข่าโก่งด้วยการรักษาทางกายภาพบำบัดต้องอาศัยความละเอียดในการประเมินอาการของผู้ป่วยแต่ละราย และเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและลดปัญหาภาวะข้อเข่าผิดรูปในระยะยาวโดยมีขั้นตอนการรักษาหลัก ๆ ดังนี้
- การประคบเย็น/ร้อนเพื่อลดปวด โดยประคบเย็นช่วงที่มีการอักเสบของข้อเข่า ประคบร้อนเมื่อต้องการคลายอาการปวดจากความตึงของกล้ามเนื้อรอบ ๆ
- ลดความตึงตัวหรือลดการอักเสบของกล้ามเนื้อโดยใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เช่น เลเซอร์ อัลตร้าซาวด์ ร่วมกับการขยับ ดัด ดึงข้อเข่า เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อเข่าและเพิ่มความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อบริเวณรอบข้อเข่า
- ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อต้นขาด้านในและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและหลัง กล้ามเนื้อรอบสะโพก
- การให้ความรู้เกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงท่าทางที่ไม่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงในการทำให้ข้อเข่าเสื่อมสภาพเร็วขึ้น การยืนหรือนั่งในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น การนั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ หรือการยืนทำงานในท่าเดิมเป็นเวลานาน ๆ อาจส่งผลให้ข้อเข่าผิดรูปและทำให้อาการของเข่าโก่งรุนแรงขึ้นได้
ภาวะเข่าโก่งเป็นปัญหาที่พบได้ในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ การตรวจประเมินอย่างถูกต้องสามารถช่วยวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีอาการปวดเข่าเรื้อรังหรือเข่าโก่งมากขึ้น ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป ท่านผู้อ่านสามารถติดตามการออกกำลังกายภาวะเข่าโก่งได้ในบทความถัดไปค่ะ
เรียบเรียงโดย กภ.(ชำนาญการพิเศษ) ลดาวรรณ เติมวรกุล
เอกสารอ้างอิง
- Doe J, Smith A. Bow legs: Causes, diagnosis, and treatment. J Orthop Res. 2020;38(5):789-95.
- Hunter DJ, Bierma-Zeinstra S. Osteoarthritis. Lancet. 2019;393(10182):1745-59.
- LaBella CR, Hennrikus W, Hewett TE. Anterior Cruciate Ligament Injuries: Diagnosis, Treatment, and Prevention. Pediatrics. 2014;133(5):e1437-e50.
- Felson DT, Zhang Y, Hannan MT, Naimark A, Weissman B, Aliabadi P. Risk factors for incident radiographic knee osteoarthritis in the elderly: The Framingham Study. Arthritis Rheum. 1997;40(4):728-33.
- Whyte MP. Paget’s disease of bone and genetic disorders of RANKL/OPG/RANK signaling. Ann N Y Acad Sci. 2006;1068:143-64.
- Sabharwal S. Blount disease. J Bone Joint Surg Am. 2009;91(7):1758-76.
- Zazulak BT, Hewett TE, Reeves NP, Goldberg B, Cholewicki J. Deficits in Neuromuscular Control of the Trunk Predict Knee Injury Risk. Am J Sports Med. 2007;35(7):1123-30.
- Holick MF. Vitamin D Deficiency. N Engl J Med. 2007;357(3):266-81.
- Tanaka MJ, Ekhtiari S, Horner NS, de Sa D, Simunovic N, Musahl V, et al. The influence of lower limb alignment in the development and progression of knee osteoarthritis: a systematic review. Sports Med. 2020;50(11):2109–23.
- Sharma L, Lou C, Felson DT, Dunlop DD, Kirwan-Mellis G, Hayes KW. The mechanism of knee osteoarthritis pain relief in response to treatment. Arthritis Rheum. 2019;71(5):732–40.
- Vincent KR, Vincent HK. Resistance exercise for knee osteoarthritis. PM R. 2012;4(5 Suppl):S45–52.
- Salenius P, Vankka E. The development of the tibiofemoral angle in children. J Bone Joint Surg Am. 1975;57(2):259-61.
- Cooke TD, Sled EA, Scudamore RA. Pathophysiology and biomechanics of malalignment in knee osteoarthritis. Clin Orthop Relat Res. 2007;462:26-31.
- Paley D. Principles of deformity correction. Springer; 2002. p. 1–806.
- Shakoor N, Yantis J, Liao J, et al. The effects of knee braces on knee mechanics during walking and running. Arch Phys Med Rehabil. 2003;84(7):983–8.
- McAlindon TE, Bannuru RR, Singh JA, et al. OARSI guidelines for the non-surgical management of knee osteoarthritis. Osteoarthritis Cartilage. 2014;22(3):363–88.
- Berenbaum F, Walker DJ. Management of osteoarthritis: current approaches. Curr Rheumatol Rep. 2019;21(9):56.