mobile_logomobile_logomobile_logomobile_logo
  • Home
  • การให้บริการ
    • ขั้นตอนการรับบริการศูนย์กายภาพบำบัด
    • ข้อมูลที่ควรทราบก่อนเข้ารับบริการ
    • ปฏิทินจัดอบรมความรู้สู่ประชาชน
    • ลงทะเบียนประวัติออนไลน์
    • ระบบตรวจสอบรหัสผู้ป่วย (HN) ออนไลน์
  • เกี่ยวกับเรา
    • ปรัชญา วิสัยทัศน์ พันธกิจ
    • คณะกรรมการประจำศูนย์กายภาพบำบัด
    • โครงสร้างศูนย์กายภาพบำบัด
    • นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด (ปิ่นเกล้า)
    • นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด (ศาลายา)
  • การรักษา
    • กายภาพบำบัดระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
    • กายภาพบำบัดระบบประสาท
    • กายภาพบำบัดทางเด็ก
    • กิจกรรมบำบัด
    • คลินิกกระดูกสันหลังคด
    • คลินิกกายภาพบำบัดทางการกีฬา
    • คลินิกกายภาพบำบัดทางการยศาสตร์
    • คลินิกกายภาพบำบัดในสุขภาพหญิง
    • คลินิกผู้สูงอายุ
    • คลินิกวอยตาบำบัด (Vojta Therapy)
    • คลินิกโรคเวียนศีรษะและการทรงตัว
  • โครงการพิเศษ
    • HealthcaRe Tele-delivery Service
    • โครงการเตรียมความพร้อมสู่การเรียน (School readiness)
    • กลุ่มกิจกรรมบำบัดสำหรับผู้สูงอายุ
    • โครงการตรวจหลอดเลือด
    • โครงการธาราบำบัด
    • โครงการกิจกรรมบำบัดสำหรับผู้สูงอายุ สมองเสื่อมป้องกันได้
    • โครงการส่งเสริมสุขภาพด้านการเคลื่อนไหวและป้องกันการล้มในผู้สูงอายุ
    • โครงการ “กายพร้อม ใจพร้อม เราวิ่งได้”
  • ติดต่อเรา
  • TH
    • EN
    • TH
✕

เข่าโก่ง คืออะไร???

  • Home
  • บทความ ความรู้สู่ประชาชน กายภาพบำบัดทางระบบกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อ
  • เข่าโก่ง คืออะไร???

เข่าโก่ง คืออะไร???

เมษายน 29, 2025
Categories
  • กายภาพบำบัดทางระบบกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อ
  • บทความ ความรู้สู่ประชาชน
Tags
  • เข่ากาง
  • เข่าเสื่อม
  • เข่าโก่ง

ภาวะเข่าโก่ง (Bow legs) เป็นภาวะที่ขาทั้งสองข้างโค้งออกด้านนอก ทำให้เมื่อยืนตรงแบบข้อเท้าชิด หัวเข่าจะไม่สามารถชิดกันได้ ส่งผลให้ขาดูเป็นรูปตัวโอเมื่อมองจากด้านหน้า (รูปที่1) สามารถพบได้ในทุกวัยโดยเฉพาะวัยเด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งอาจกระทบต่อการทรงตัวและการเดิน1

รูปที่ 1 แสดงการเปรียบเทียบของภาวะเข่าโก่งกับเข่าปกติ

รูปที่ 1 แสดงการเปรียบเทียบของภาวะเข่าโก่งกับเข่าปกติ

สาเหตุของภาวะเข่าโก่ง

  1. การเสื่อมสภาพของข้อเข่าหรือโรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis) เมื่ออายุมากขึ้น กระดูกอ่อนในข้อเข่าจะมีการเสื่อมสภาพลงจากการใช้งานอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ข้อเข่าติดขัดขณะเคลื่อนไหว และเกิดความผิดรูปตามมา2
  2. การบาดเจ็บและอุบัติเหตุ อุบัติเหตุที่ส่งผลกระทบต่อข้อเข่าหรือกระดูกบริเวณรยางค์ส่วนล่าง อาจทำให้โครงสร้างของข้อเข่าเปลี่ยนแปลง ซึ่งนำไปสู่ภาวะเข่าโก่งได้3
  3. น้ำหนักเกิน น้ำหนักตัวที่มากเกินไปทำให้ข้อเข่าต้องรับแรงกดทางด้านในเข่าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กระดูกอ่อนเสื่อมสภาพเร็วขึ้น นำไปสู่ปัญหาข้อเข่าผิดรูป4
  4. โรคทางเมแทบอลิก โรคข้ออักเสบและโรคบางชนิด เช่น โรคเกาต์ โรครูมาตอยด์ หรือโรคกระดูกอ่อนผิดปกติจากเมแทบอลิซึม อาจทำให้เกิดการอักเสบในข้อเข่าและนำไปสู่การผิดรูปของขา โรคพาเจต (Paget’s disease) ส่งผลต่อกระบวนการสร้างและทำลายกระดูก ทำให้กระดูกขาโค้งงอ โรคบลาวต์ (Blount’s disease) พบในเด็ก ส่งผลให้กระดูกหน้าแข้งเติบโตผิดปกติ เป็นต้น5
  5. ภาวะเข่าผิดรูปแต่กำเนิด ภาวะเข่าโก่งอาจเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมหรือพัฒนาการที่ผิดปกติตั้งแต่กำเนิด ซึ่งอาจต้องได้รับการดูแลและรักษาตั้งแต่วัยเด็ก ภาวะขาโก่งตั้งแต่วัยเด็กที่ไม่ได้รับการรักษา อาจพัฒนาเป็นเข่าโก่งรุนแรงขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ6
  6. การใช้งานข้อเข่าผิดวิธีอย่างต่อเนื่อง เช่น การยกของหนักหรือการเล่นกีฬาที่สร้างแรงกระแทกสูงต่อข้อเข่า7 ทำให้กระดูกอ่อนในข้อเข่าซึ่งทำหน้าที่รองรับแรงกระแทกสึกหรอเร็วขึ้น นำไปสู่ปัญหาข้อเข่าผิดรูปได้
  7. การขาดสารอาหาร โดยเฉพาะแคลเซียมและวิตามินดี ซึ่งสำคัญต่อพัฒนาการของกระดูก อาจนำไปสู่ภาวะโรคกระดูกอ่อน (Osteomalacia) ซึ่งเป็นโรคกระดูกชนิดหนึ่งที่ส่งผลให้มวลกระดูกขาดแคลเซียม จึงมีภาวะอ่อนตัวไม่แข็งแรง ทำให้กระดูกอ่อนแอและผิดรูปง่าย8

อาการของภาวะเข่าโก่ง

เข่าโก่งเกิดจากกระดูกอ่อนผิวข้อเข่าด้านในสึกหรอและบางลงมากกว่าปกติ จนทำให้ช่องว่างข้อเข่าด้านในแคบกว่าด้านนอก ทำให้เกิดมุมที่ผิดปกติไป9 ภาวะเข่าโก่งอาจทำให้เกิดอาการปวดเมื่อย โดยเฉพาะบริเวณข้อเข่าและข้อเท้า เนื่องจากการกระจายน้ำหนักที่ไม่สมดุล ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น

  1. ปวดเข่า โดยเฉพาะเวลาเดินหรือยืนเป็นเวลานาน เนื่องจากแนวแรงการทำงานของกล้ามเนื้อที่ข้อเข่าเปลี่ยนไป เกิดอาการบาดเจ็บต่อโครงสร้างเข่า ทำให้เดินลำบากขึ้น ลงน้ำหนักได้ไม่ดี ตัวเอียงไปมาขณะเดิน หากปล่อยไว้จนรุนแรง ผู้ป่วยจะเจ็บปวดและเคลื่อนไหวข้อเข่าได้จำกัด ส่งผลให้ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ยากขึ้น10
  2. ปวดสะโพกและหลังส่วนล่าง เนื่องจากร่างกายต้องปรับสมดุลเพื่อลดผลกระทบจากการโก่งของขา2
  3. เมื่อยล้าขาง่ายกว่าปกติ เพราะกล้ามเนื้อขาต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย11

การประเมินภาวะเข่าโก่ง

การประเมินว่ามีภาวะเข่าโก่ง สามารถทำได้โดยการตรวจร่างกายและใช้มาตรฐานทางการแพทย์ในการวัด ได้แก่

  1. การวัดระยะห่างระหว่างหัวเข่า (Intercondylar Distance) โดยให้ผู้ป่วยยืนตรงโดยให้ข้อเท้าทั้งสองข้างชิดกัน วัดระยะห่างระหว่างหัวเข่าทั้งสองข้าง หากระยะห่างมากกว่า 8 เซนติเมตร อาจบ่งชี้ถึงภาวะเข่าโก่งที่ผิดปกติได้12 (รูปที่ 2)
รูปที่ 2 แสดงการวัดระยะห่างระหว่างหัวเข่าในภาวะเข่าโก่ง

รูปที่ 2 แสดงการวัดระยะห่างระหว่างหัวเข่าในภาวะเข่าโก่ง

  1. การตรวจเอกซเรย์ (Radiographic Evaluation) การเอกซเรย์ในท่ายืน (Weight-bearing X-ray) เป็นมาตรฐานในการประเมินแนวแกนของขาและข้อเข่า องศาความโก่งสามารถประเมินได้จากมุมระหว่างกระดูกต้นขาและกระดูกหน้าแข้ง (Tibiofemoral Angle) หากมีค่าน้อยกว่า -5 องศา ถือว่าเริ่มมีภาวะเข่าโก่ง13 (รูปที่ 3)
รูปที่ 3 แสดงการวัดมุมระหว่างกระดูกต้นขาและกระดูกหน้าแข้งในภาวะเข่าโก่ง

รูปที่ 3 แสดงการวัดมุมระหว่างกระดูกต้นขาและกระดูกหน้าแข้งในภาวะเข่าโก่ง

  1. การใช้ดัชนีแนวกระดูก (Mechanical Axis Deviation) เป็นการวัดแนวของกระดูกขาโดยลากเส้นจากศูนย์กลางของข้อสะโพกไปยังข้อเท้า หากแนวเส้นนี้ไม่ตัดผ่านศูนย์กลางของข้อเข่า อาจแสดงถึงภาวะขาโก่งที่รุนแรง14 (รูปที่ 4)
รูปที่ 4 แสดงการวัดแนวกระดูกขา

รูปที่ 4 แสดงการวัดแนวกระดูกขา

ควรพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเมื่อใด

  • ระยะห่างระหว่างข้อเข่า มากกว่า 8 เซนติเมตรเมื่อยืนตรง เท้าชิดกัน12
  • อาการปวดเข่าหรือข้อเท้าเรื้อรังที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน13
  • สังเกตเห็นว่าเข่าโก่งมากขึ้นภายในระยะเวลาไม่นาน2
  • มีปัญหาในการเดินหรือทรงตัว10
  • เข่าโก่งที่เกิดขึ้นหลังการบาดเจ็บที่ขาหรือข้อเข่า14

แนวทางดูแลและรักษาภาวะเข่าโก่ง ได้แก่

  • การดูแลตนเอง11,15
  1. ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและหลัง กล้ามเนื้อรอบสะโพก และยืดกล้ามเนื้อต้นขาด้านในเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของขา
  2. ใช้อุปกรณ์พยุงเข่า เช่น เข็มขัดพยุงเข่าและแผ่นรองรองเท้า เพื่อช่วยกระจายและปรับแนวแรงที่กดต่อข้อเข่า
  3. ควบคุมหรือลดน้ำหนัก เพื่อลดแรงที่กระทำต่อข้อเข่า และป้องกันการเสื่อมสภาพที่รวดเร็วขึ้น
  4. การประคบร้อนหรือเย็น ช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบ
  • การรักษาทางการแพทย์14,16
  1. การใช้ยา เพื่อช่วยลดอาการปวด
  2. การผ่าตัดตัดกระดูกเพื่อปรับแนว (Osteotomy) เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเข่าโก่งไม่รุนแรงและข้อเข่ายังแข็งแรง
  3. การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อมรุนแรง โดยสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเข่าโก่งและลดอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การรักษาทางกายภาพบำบัด11,17

การรักษาภาวะเข่าโก่งด้วยการรักษาทางกายภาพบำบัดต้องอาศัยความละเอียดในการประเมินอาการของผู้ป่วยแต่ละราย และเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและลดปัญหาภาวะข้อเข่าผิดรูปในระยะยาวโดยมีขั้นตอนการรักษาหลัก ๆ ดังนี้

  1. การประคบเย็น/ร้อนเพื่อลดปวด โดยประคบเย็นช่วงที่มีการอักเสบของข้อเข่า ประคบร้อนเมื่อต้องการคลายอาการปวดจากความตึงของกล้ามเนื้อรอบ ๆ
  2. ลดความตึงตัวหรือลดการอักเสบของกล้ามเนื้อโดยใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เช่น เลเซอร์ อัลตร้าซาวด์ ร่วมกับการขยับ ดัด ดึงข้อเข่า เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อเข่าและเพิ่มความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อบริเวณรอบข้อเข่า
  3. ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อต้นขาด้านในและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและหลัง กล้ามเนื้อรอบสะโพก
  4. การให้ความรู้เกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงท่าทางที่ไม่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงในการทำให้ข้อเข่าเสื่อมสภาพเร็วขึ้น การยืนหรือนั่งในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น การนั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ หรือการยืนทำงานในท่าเดิมเป็นเวลานาน ๆ อาจส่งผลให้ข้อเข่าผิดรูปและทำให้อาการของเข่าโก่งรุนแรงขึ้นได้

ภาวะเข่าโก่งเป็นปัญหาที่พบได้ในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ การตรวจประเมินอย่างถูกต้องสามารถช่วยวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีอาการปวดเข่าเรื้อรังหรือเข่าโก่งมากขึ้น ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป ท่านผู้อ่านสามารถติดตามการออกกำลังกายภาวะเข่าโก่งได้ในบทความถัดไปค่ะ

เรียบเรียงโดย กภ.(ชำนาญการพิเศษ) ลดาวรรณ เติมวรกุล

เอกสารอ้างอิง

  1. Doe J, Smith A. Bow legs: Causes, diagnosis, and treatment. J Orthop Res. 2020;38(5):789-95.
  2. Hunter DJ, Bierma-Zeinstra S. Osteoarthritis. Lancet. 2019;393(10182):1745-59.
  3. LaBella CR, Hennrikus W, Hewett TE. Anterior Cruciate Ligament Injuries: Diagnosis, Treatment, and Prevention. Pediatrics. 2014;133(5):e1437-e50.
  4. Felson DT, Zhang Y, Hannan MT, Naimark A, Weissman B, Aliabadi P. Risk factors for incident radiographic knee osteoarthritis in the elderly: The Framingham Study. Arthritis Rheum. 1997;40(4):728-33.
  5. Whyte MP. Paget’s disease of bone and genetic disorders of RANKL/OPG/RANK signaling. Ann N Y Acad Sci. 2006;1068:143-64.
  6. Sabharwal S. Blount disease. J Bone Joint Surg Am. 2009;91(7):1758-76.
  7. Zazulak BT, Hewett TE, Reeves NP, Goldberg B, Cholewicki J. Deficits in Neuromuscular Control of the Trunk Predict Knee Injury Risk. Am J Sports Med. 2007;35(7):1123-30.
  8. Holick MF. Vitamin D Deficiency. N Engl J Med. 2007;357(3):266-81.
  9. Tanaka MJ, Ekhtiari S, Horner NS, de Sa D, Simunovic N, Musahl V, et al. The influence of lower limb alignment in the development and progression of knee osteoarthritis: a systematic review. Sports Med. 2020;50(11):2109–23.
  10. Sharma L, Lou C, Felson DT, Dunlop DD, Kirwan-Mellis G, Hayes KW. The mechanism of knee osteoarthritis pain relief in response to treatment. Arthritis Rheum. 2019;71(5):732–40.
  11. Vincent KR, Vincent HK. Resistance exercise for knee osteoarthritis. PM R. 2012;4(5 Suppl):S45–52.
  12. Salenius P, Vankka E. The development of the tibiofemoral angle in children. J Bone Joint Surg Am. 1975;57(2):259-61.
  13. Cooke TD, Sled EA, Scudamore RA. Pathophysiology and biomechanics of malalignment in knee osteoarthritis. Clin Orthop Relat Res. 2007;462:26-31.
  14. Paley D. Principles of deformity correction. Springer; 2002. p. 1–806.
  15. Shakoor N, Yantis J, Liao J, et al. The effects of knee braces on knee mechanics during walking and running. Arch Phys Med Rehabil. 2003;84(7):983–8.
  16. McAlindon TE, Bannuru RR, Singh JA, et al. OARSI guidelines for the non-surgical management of knee osteoarthritis. Osteoarthritis Cartilage. 2014;22(3):363–88.
  17. Berenbaum F, Walker DJ. Management of osteoarthritis: current approaches. Curr Rheumatol Rep. 2019;21(9):56.
Post Views: 1,698
Share
23

Related posts

มิถุนายน 9, 2025

“Shin Splints” กล้ามเนื้อหน้าแข้งอักเสบ ปัญหาที่พบได้ในนักวิ่ง


Read more
มิถุนายน 4, 2025

กู้พลังผู้ปกครอง: 5 วิธีดูแลตัวเองเมื่อรู้สึกหมดไฟ (Parental Burnout)


Read more
พฤษภาคม 26, 2025

การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเข่าต่อการรับความรู้สึกของข้อเข่า


Read more
พฤษภาคม 23, 2025

เอ็นไขว้หน้าเข่าบาดเจ็บได้อย่างไร? และ ตรวจ รักษาอย่างไร?


Read more

ศูนย์กายภาพบำบัด เชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า

198/2 ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า,
แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700
โทรศัพท์ : 0-63-520-5151

ศูนย์กายภาพบำบัด ศาลายา

999 ถนนพุทธมณฑลสาย 4
ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล นครปฐม 73170
โทรศัพท์ : 0-2441-5450 โทรสาร : 0-2441-5454
  • Facebook
  • YouTube
© Faculty of Physical Therapy, Mahidol University.