เข่าชิด คืออะไร???

ภาวะเข่าชิดหรือเข่าชน (Knock Knees) เป็นภาวะที่เข่าทั้งสองข้างบิดเข้าหากันจนชิดกัน ในขณะที่ขาส่วนล่างและเท้าแยกออกจากกัน (รูปที่1) ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้พร้อมกันทั้งสองข้างหรือเพียงข้างเดียว และสามารถพบได้ในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในเด็กอายุ 3-6 ปี ในผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือในผู้สูงอายุที่มีการเสื่อมของข้อเข่า และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย แม้ในเด็กส่วนใหญ่ภาวะนี้จะสามารถหายไปเองเมื่อโตขึ้น แต่ในบางกรณีอาจเป็นสัญญาณของโรคหรือความผิดปกติที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม1,2

รูปที่ 1 แสดงการเปรียบเทียบของภาวะเข่าชิดกับเข่าปกติ
สาเหตุของภาวะเข่าชิด1,3
- การเจริญเติบโตผิดปกติในเด็ก บางกรณีเป็นภาวะปกติที่เกิดขึ้นชั่วคราว และสามารถหายไปเองเมื่อเด็กโตขึ้น
- โรคทางระบบ (Systemic Diseases) และเมตาบอลิซึม เช่น โรคไตวายเรื้อรัง โรคกระดูกอ่อน (Rickets) ซึ่งเกิดจากการขาดวิตามิน D โรคพันธุกรรมที่มีผลต่อกระดูกและข้อต่อ
- อุบัติเหตุและการบาดเจ็บ การกระแทกที่เข่าหรือกระดูกขาระหว่างการเจริญเติบโต อาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติของแนวกระดูกทำให้เกิดภาวะเข่าชิด
- การอักเสบของข้อเข่า เนื้องอกในกระดูกอ่อนหรือโรคข้อเสื่อมในผู้สูงอายุ ที่ส่งผลต่อโครงสร้างของเข่า
- ภาวะอ้วน น้ำหนักตัวที่มากเกินไปอาจทำให้ข้อเข่ารับน้ำหนักมากขึ้นโดยเฉพาะด้านในของเข่า ซึ่งอาจส่งผลให้แนวกระดูกขาเปลี่ยนแปลง และทำให้เกิดภาวะเข่าชิดมากขึ้น
อาการของภาวะเข่าชิด4,5
- มีอาการปวดบริเวณข้อเข่า ข้อเท้า หรือข้อสะโพก โดยเฉพาะเวลาทำกิจกรรมที่ต้องออกแรง เช่น เดิน วิ่ง หรือยืนเป็นเวลานาน
- ข้อต่อในรยางค์ขาเคลื่อนไหวได้น้อยลง โดยเฉพาะที่ข้อเข่าหรือข้อสะโพก อาจรู้สึกตึงหรือขัดขณะพับหรือเหยียดขา
- เดินผิดปกติ หรือทรงตัวไม่มั่นคง เช่น เดินกะเผลก รู้สึกว่าเข่าไม่มั่นคง หรือขาข้างหนึ่งรับน้ำหนักได้ไม่เต็มที่
- ผลกระทบระยะยาวหากไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะข้อเข่าเสื่อมก่อนวัย หรือทำให้หมอนรองกระดูกในเข่าเกิดการสึกหรอหรือบาดเจ็บ
การประเมินภาวะเข่าชิด6,7,8
การประเมินภาวะเข่าชิด สามารถทำได้โดยการตรวจร่างกายและใช้มาตรฐานทางการแพทย์ในการวัด ได้แก่
- ระยะห่างระหว่างข้อเท้า ในขณะที่ผู้ป่วยยืนตัวตรงและเข่าชิดกัน วัดระยะห่างระหว่างตาตุ่มด้านใน (medial malleoli) ของเท้าทั้งสองข้างหากระยะห่างระหว่างข้อเท้ามากกว่า 8 เซนติเมตร ถือว่าเป็นภาวะเข่าชิดที่อาจต้องได้รับการพิจารณาเพิ่มเติม (รูปที่ 2)

รูปที่ 2 แสดงการวัดระยะห่างระหว่างข้อเท้าในภาวะเข่าชิด
- การตรวจเอกซเรย์ (Radiographic Evaluation) การเอกซเรย์ในท่ายืน (Weight-bearing X-ray) เป็นมาตรฐานในการประเมินแนวแกนของขาและข้อเข่า องศาความชิดสามารถประเมินได้จากมุมระหว่างกระดูกต้นขาและกระดูกหน้าแข้ง (Tibiofemoral Angle) ค่าปกติอยู่ที่ประมาณ 5-7 องศา หากมากกว่าเกณฑ์อาจบ่งชี้ถึงภาวะเข่าชิดที่รุนแรงขึ้น (รูปที่ 3)

รูปที่ 3 แสดงการวัดมุมระหว่างกระดูกต้นขาและกระดูกหน้าแข้งในภาวะเข่าชิด
- การประเมินองศาความโก่งของขา (Q-angle Assessment) คือ มุมที่เกิดจากเส้นตรงจากกระดูกเชิงกรานไปยังกระดูกสะบ้า และจากกระดูกสะบ้าไปยังกระดูกหน้าแข้ง โดยเกณฑ์ Q-angle ที่ปกติในเพศชาย คือ 12–15 องศา เพศหญิง คือ 15–18 องศา หาก Q-angle มากกว่าเกณฑ์บ่งชี้ถึงแนวโน้มของภาวะเข่าชิด (รูปที่ 4)

รูปที่ 4 แสดงการวัด Q-angle ในภาวะเข่าชิด
- การประเมินทางคลินิก เช่น ทดสอบรูปแบบการเดิน การทรงตัว และภาวะปวดข้อเข่าที่เกี่ยวข้อง
แนวทางดูแลและรักษาภาวะเข่าชิด ได้แก่
- การดูแลตนเอง9
- ออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงและยืดกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อขาและสะโพก
- ใช้อุปกรณ์พยุงเข่า เช่น เข็มขัดหรือเฝือกพยุงเข่า เพื่อช่วยกระจายแรงกดที่ข้อเข่าและปรับแนวกระดูก
- ควบคุมน้ำหนัก ลดภาระที่กระทำต่อข้อเข่าและป้องกันการเสื่อมสภาพที่รวดเร็วขึ้น
- การประคบร้อนหรือเย็น: ช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบ
- การรักษาทางการแพทย์10,11
- การใช้ยา เพื่อช่วยลดอาการปวด
- การผ่าตัดตัดกระดูกเพื่อปรับแนว (Osteotomy) เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเข่าโก่งไม่รุนแรงและข้อเข่ายังแข็งแรง
- การผ่าตัดตัดกระดูกเพื่อปรับแนวกระดูก (Osteotomy) ในภาวะเข่าชิดรุนแรงและส่งผลต่อคุณภาพชีวิต หรือการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม สำหรับผู้ใหญ่ที่มีข้อเข่าเสื่อมรุนแรงร่วมด้วย
- การรักษาทางกายภาพบำบัด12,13
การรักษาภาวะเข่าชิดด้วยการรักษาทางกายภาพบำบัด ต้องอาศัยความละเอียดในการประเมินอาการของผู้ป่วยแต่ละราย และเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและลดปัญหาภาวะข้อเข่าผิดรูปในระยะยาวโดยมีขั้นตอนการรักษาหลัก ๆ ดังนี้
- การประคบเย็นหรือร้อนเพื่อลดปวด โดยการประคบเย็นในช่วงที่มีการอักเสบของข้อเข่า และประคบร้อนเมื่อต้องการคลายอาการปวดจากความตึงของกล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้อเข่า
- ลดความตึงตัวหรือลดการอักเสบของกล้ามเนื้อโดยใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เช่น เลเซอร์ อัลตร้าซาวด์ ร่วมกับการขยับ ดัด ดึงข้อเข่า เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อเข่าและเพิ่มความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อบริเวณรอบข้อเข่า
- ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าและสะโพก
- การให้ความรู้เกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงท่าทางที่ไม่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงในการทำให้ข้อเข่าเสื่อมสภาพเร็วขึ้น การยืนหรือนั่งในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น การนั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ หรือการยืนทำงานในท่าเดิมเป็นเวลานาน ๆ อาจส่งผลให้ข้อเข่าผิดรูปและทำให้อาการของภาวะเข่าชิดรุนแรงขึ้นได้
ภาวะเข่าชิดเป็นปัญหาที่พบได้ในทุกช่วงวัย และเกิดจากหลายปัจจัยซึ่งมีผลกระทบต่อข้อเข่า หากภาวะนี้รุนแรงหรือส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต ควรปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อรับการวินิจฉัยและแนวทางรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ท่านผู้อ่านสามารถติดตามการออกกำลังกายภาวะเข่าชิดได้ในบทความถัดไปค่ะ
เรียบเรียงโดย กภ.(ชำนาญการพิเศษ) ลดาวรรณ เติมวรกุล
เอกสารอ้างอิง
- Sabharwal S. Blount disease: a review of clinical, radiographic, and treatment aspects. Clin Orthop Relat Res. 2007;462:39-49.
- Bellemans J, Colyn W, Vandenneucker H, Victor J. The hip–knee–ankle angle and the evolution of constitutional varus. J Bone Joint Surg Am. 2012;94(11):1017-22.
- Paley D. Principles of Deformity Correction. Springer; 2002.
- Michaëlsson, K., Byberg, L., Ahlbom, A., et al. The association between body mass index and osteoarthritis of the knee. Osteoarthritis and Cartilage. 2007;15(7):858-864.
- Hussain, S. M., & Zander, T. Genu Valgum: A review of its pathophysiology and management. Orthopedic Reviews. 2013;5(2):e29.ฃ
- Fulkerson, J. P., & Shea, K. G. The Q-angle and its role in patellofemoral pathology. Orthopedic Clinics of North America. 2004;35(4):433-439.
- Sullivan, S. J., & Fisher, L. Radiographic evaluation of knee alignment: Implications for diagnosis and treatment. Journal of Orthopedic Research. 2010;28(2): 190-196.
- Abe, T., & Iida, T. The clinical significance of knee malalignment and its influence on osteoarthritis. Orthopedic Clinics of North America. 2011;42(4): 435-443.
- Piva, S. R., & Fitzgerald, G. K. Exercise and physical therapy for knee osteoarthritis. Current Opinion in Rheumatology. 2012;24(2): 214-219.
- Zhang, W., Li, Z. D., & Yang, T. Pharmacologic management of knee osteoarthritis: Current strategies and future directions. Drugs. 2017;77(10): 1039-1055.
- Baker, P. N., van der Meulen, J. H., & de Beer, J. Osteotomy and knee replacement for the management of knee osteoarthritis. The Journal of Bone and Joint Surgery. 2007;89(4): 510-517.
- Clement, A., & Fernandes, R. Physical therapy for knee osteoarthritis. Current Opinion in Rheumatology. 2009;21(2): 145-150.
- Deyle, G. D., & Henderson, N. E. Physical therapy intervention in knee osteoarthritis. Physical Therapy. 2006;86(2): 154-165.